เขาทรายเป็นหนึ่ง ประเดิมรับเงิน กองทุนประกันชีวิต จากผู้มีสิทธิเกือบล้านราย “เช็กชื่อใช้ ได้เงินจริง จ่ายจริง”
เขาทรายเป็นหนึ่ง หลังกองทุนประกันชีวิต เปิดแผนการคืนเงินเป็นปีแรกแก่ผู้เคยทำสัญญาประกัน พร้อมชู “ซ้ายทะลวงไส้” เขาทราย แกแลคซี่ เป็นเคสแบบอย่าง
นายกฤษฏา จีนะวิจารณะ ปลัดกระทรวงการเงิน ประธานกรรมการบริหารกองทุนสัญญาประกันชีวิต, ดร.สุทธิพล ทวีชัยการ รองประธาน กก.บริหารกองทุนสัญญาประกัน แล้วก็ นายจรัญ สอนความเจริญรุ่งเรือง ผู้จัดการกองทุนฯ พร้อมคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิอีกคนไม่ใช่น้อย ร่วมต้อนรับ ครอบครัว นายสุระ แสนคำ หรือ “แกแล็คซี่” ตำนานแชมเปียนโลกคนไทย ซึ่งเดินทางมารับเงินกรมธรรม์ ตามแผนการของรัฐบาลให้กองทุนสัญญาประกันชีวิตเร่งรัดโปรโมทให้พสกนิกรทั่วๆไปได้รับทราบสิทธิประโยชน์จากการทำประกันชีวิต เกี่ยวกับเงินกรมธรรม์ที่ล่วงพ้นอายุความตลอด
จากการเปิดเผยปัจจุบัน มีเงินตามกรมธรรม์กว่า 1,356 ล้านบาท จากผู้ประกันที่มีสิทธิ 991,786 ราย ซึ่งในปริมาณนี้มีชื่อ นายสุระ แสนคำ รวมอยู่ด้วย โดยได้ทำประกันชีวิตไว้เมื่อแทบ 20 ปีให้หลังแล้วเลิกส่งเบี้ยประกันไปก่อนถึงกำหนด เพราะว่าเพื่อนฝูงซึ่งเป็นผู้แทนรับรองไม่มาคิดบัญชีค่าเบี้ยประกัน ซึ่งตัวของเขาทรายเองก็ไม่เคยทราบว่า ตนยังมีสิทธิที่กำลังจะได้ได้ประโยชน์ ภายหลังจากกองทุนสัญญาประกันชีวิต มีหนังสือแจ้งสิทธิในเงินดังกล่าวให้ทราบ วิจารณ์มวยไทยวันนี้
โดยเงินกรมธรรม์ที่ล่วงพ้นอายุความ เป็นเงินที่ผู้เอาประกัน หรือผู้ได้รับประโยชน์ตามกรมธรรม์ หรือผู้สืบสกุลของผู้เอาประกันมีสิทธิจะได้รับ แต่ว่ามิได้มีการเรียกร้องหรือไปรับจากบริษัทด้านใน 10 ปี นับตั้งแต่วันที่มีสิทธิได้รับเงิน จนกระทั่งล่วงพ้นเวลา 10 ปีผ่านไป กฏหมายกำหนดให้บริษัทสัญญาประกันชีวิต จำเป็นต้องนำเงินดังกล่าวเข้ากองทุนสัญญาประกันชีวิต แล้วก็ผู้ประกัน หรือคนที่ได้รับประโยชน์ หรือผู้สืบสกุลแล้แต่ว่ากรณี สามารถขอรับเงินดังกล่าวคืนจากองทุนได้อีกภายในเวลา 10 ปี
ด้าน “พี่ระ” เขาทราย ตำนานกำปั้นโลกชาวไทย เปิดเผย นอกจากตนจะโชคดีที่ได้รับเงินคืนทั้งๆที่ไม่เคยทราบมาก่อน และก็แทบลืมไปแล้วว่า เคยทำสัญญาประกันชีวิตไว้เพียงแต่เนื่องจากว่าอยากช่วยเพื่อนเก่าซึ่งยุคนั้นจำเป็นต้องทำยอดจำหน่ายรับรอง กรณีดังที่กล่าวมาแล้วโอหังอย่าง และก็เป็นของขวัญปีใหม่กับญาติพี่น้องคนไทยอีกจำนวนนับล้านคนเลยก็ว่าได้ ที่มีสิทธิจะได้เงินคืนเหมือนกันกับตน ซึ่งจำเป็นต้องขอขอบคุณกองทุนสัญญาประกันชีวิต มาในโอกาสนี้ด้วย
“ผมมีความคิดว่า ไม่มีนักกีฬาไทยคนไหนกันแน่ แบกรับความมุ่งหวังมากมายเท่าผมแล้ว? ไปไหนมาไหนก็จะได้ยินแม้กระนั้นคำว่า ‘เขาทรายจำเป็นต้องชนะนะ แล้วจะต้องชนะน็อกด้วย’ พวกเราแพ้มิได้ เพราะเหตุว่าแม้กระทั้งเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดิน ยังทรงชมการต่อยของพวกเรา”
ตรงเวลากว่า 27 ปีแล้ว ตั้งแต่แมื่อที่ สมัยก่อนนักต่อยแชมป์โลกผู้มีอิทธิพลชาวไทย แขวนนวมอำลาพื้นผ้าใบ แต่ว่าชื่อของเขา กลับไม่เคยเลือนหายไปตามยุคสมัย รวมทั้งยังคงถูกบอกอยู่บ่อย
อย่างกับว่า ไม่เคยถูกลบเลือนหายไปจากความจำของแฟนหมัดมวยคนประเทศไทย อีกทั้ง ผู้ที่กำเนิดทันตอนปี 2527-2534 ได้ดูการนักต่อยจากจังหวัดเพชรบูรณ์ ไล่ผลาญคู่แข่งคนแล้วคนเล่า
หรือ คนสมัยใหม่ ที่บางทีอาจกำเนิดไม่ทันมองการถ่ายทอดสด แต่ว่ามั่นใจว่าจำนวนมากย่อมจะต้องเคยได้ฟังเรื่องราวความเก่งกล้าของ ผู้ชายที่ทำให้ถนนหนทางทุกสายในประเทศไทยเตียนได้ เพราะเหตุว่าพลเมืองต่างรีบกลับไปอยู่ที่บ้าน ไปติดตามจอ รอคอยดู การปกป้อง แชมป์โลกรุ่น ซูเปอร์ฟลายเวท 115 ปอนด์ ชมรมมวยโลก (WBA) หรือที่คนประเทศไทยเคยชินในชื่อรุ่น จูเนียร์ แบนตัมเวท (เดิม)
ภาพจำของคนไทยต่อ เอ็งแล็คซี ก็เลยเป็นภาพของ นักต่อยไทยที่เต็มเปี่ยมไปด้วย ความดุเดือด แข็งแรง เดินหน้าอัดหมัดซ้ายอันทรงประสิทธิภาพ ใส่คู่ท้าทายชิงตกลงไปกอง จนถึงสามารถป้องกันเข็มขัดแชมป์มวยโลกได้ถึง 19 ครั้งติดต่อกัน โดยไม่แพ้คนไหนเลย
แต่ว่าใครกันแน่เล่า จะทราบถึงภายในจิตใจ ลึกๆของ นักต่อยสมญานาม “ซ้ายทะลวงไส้” ในวันที่ชีวิตขึ้นไปอยู่ใน จุดสุดยอดของอาชีพ เขาจำเป็น ต้องแบกรับ ความผิดพลาดถูกใจ แรงกดดัน ความหวังมากมายมากมายอย่าง มากมายเท่าใด
ตลอดทางการชกมวยอาชีพ เขาไม่เคยแสดงออก ความอ่อนแอ ความเจ็บ ให้คน ประเทศไทยมองเห็น แม้กระทั้งคร้งเดียว
หากแม้ในวันที่เขามีเข็มขัดแชมป์โลกคาดอยู่เอว แม้กระนั้นเขายังเป็นเพียงแค่มนุษย์คนหนึ่ง ที่มีเลือดเนื้อ ชีวิต จิตใจ เจ็บได้ หวั่นไหวเป็น เขาก็ยังมีเรื่องมีราวราวอีกเยอะแยะที่ยังไม่เคยถูกเผยออกมา รวมทั้งเขาจะมา บอกกล่าวเรื่องจริง ทุกๆอย่างที่เกิด ในชีวิตการเป็น นักมวยของ เขาทราย แกแล็คซี่
เขาแพ้แต้มต่อ ศักดา แสงสุรีย์ ในไฟต์ชิงแชมป์มวยสากลของ เวทีราชดำเนิน รุ่นแบนตั้มเวท ทั้งๆที่ก่อนที่จะมีการต่อย เอาชนะคู่ต่อยมาได้ 4 ไฟต์รวด รวมทั้งมอง ได้เปรียบ อำนาจ เยอะพอควร…แต่ว่าแป็บเดียว เสียงติเตียน ที่มีต่อตัวเขา กลายเป็นเงียบกริบ ภายหลัง นักมวยวัยรุ่นคนหนึ่ง ตกลงใจกล่าวบางสิ่ง บางอย่างที่อยู่ในใจออกไป ศึกมวยไทย7สี
“ผมบอกกับโปรโมเตอร์ ก่อนต่อยแล้วว่า ไฟต์นั้นผมไม่มีพลังใจต่อย ด้วยเหตุว่าพี่ชายผม (เขาค้อ แกแลคซี) เข้าสนามไม่ได้ โดยทั่วไปแล้ว พวกเราสองคนจะสลับกัน เป็นคนดูแลให้กัน ยุคนั้นถ้าหากนักมวย ไม่พาคนดูแลเข้าไปด้วย คนดูแลก็จะไม่สามารถที่จะเข้าสนามได้”
“ผมออกมายืนคอย พี่ชายอยู่หน้า สนามแข่งมวย ด้วยเหตุว่ามีคิวต่อยเป็นคู่ด้านหลังๆแต่ว่าโปรโมเตอร์ที่จัดรายการวันนั้น กลับมาไล่ผมให้ผมเข้าไปเตรียมภายใน ผมก็เศร้าใจ เพราะเหตุใดเขาจะต้องมาด่าพวกเราทั้งๆที่พวกเราไม่ใช่ลูกน้องเขา ผมขึ้นเวทีไปด้วยความห่วงพี่ชายที่เข้าสนามมิได้ พวกเราไม่มีแรงใจต่อยเลย แต่ว่าไฟต์นั้นก็แลกเปลี่ยนกันดุเดือดนะ”
เขาทรายเป็นหนึ่ง “โน่นเป็นครั้งเดียวที่ผมแพ้แต้ม แม้กระนั้นทุกคนกลับมารุมด่าทอผม ผมเลยประกาศไปเฉพาะหน้าทุกคนในห้องวันนั้นว่า ‘เอาแบบนี้ ถ้าเกิดผมแพ้อีกที ผมจะเลิกชกมวยอาชีพ’”
เขาทราย นอนลงบนที่พักผ่อน ถึงแม้ไม่อาจจะข่มตา ข่มใจ ให้นอนฝันดีได้อย่างทุกคืน ข้างหลังลั่นปากว่าจะเลิกชกมวย ถ้าเกิดควรจะเป็นผู้แพ้อีกทีสำหรับในการต่อย
เขาปรับทุกข์กับ เขาค้อ แกแล็คซี (พีระชัย แสนคำ) แฝดพี่ ที่อยู่เคียงคู่เขามาตั้งแต่วันแรกที่ คุณแม่คำ แสนคำ ซื้อนวมมาให้ทั้งสองใส่ ฝึกต่อยคุ้นเคย กับหวนนอนระลึกถึงเรื่องในอดีตในวันวาน ที่ไม่ว่าจะอยู่ในเหตุการณ์ไหน คู่แฝดน้องที่ชื่อสุระ ก็ไม่เคยยอมยกธงขาวทั้งหมด
“คุณแม่ถูกใจมองมวยมากมาย รวมทั้งมีความมุ่งมั่นต้องการให้ลูกชายฝาแฝดเก่งเสมือน โผน กิ่งเพชร ทุกยามเช้าตี 5 แม่จะมาปลุกพาไปวิ่ง พอเพียงตกเย็นคนในหมู่บ้านก็จะมาล้อมมอง เด็กคู่แฝดชกกัน ลงขันกันเป็นค่าจ้างให้พวกเรา แม้กระนั้นตอนเด็ก เขาค้อ เขาเก่งมวยไทยกว่าผม เริ่มต่อยตอนอายุ 11 ปี ส่วนผมต่อยทีแรกตอนอายุ 13 ปี มิได้ฟิตฝึกซ้อม มิได้เตรียมความพร้อมอะไรเลย ได้ค่าตัวทีแรก 50 บาท”
เขาทรายเป็นหนึ่ง “ขึ้นเขาเวที 3 ยก โดนต่อยอยู่ด้านเดียว ล้มกลิ้งล้มหงาย สู้เขามิได้เลย แม้กระนั้นอาศัยว่าเป็นเด็กที่มีความอดทนสูง จิตใจสู้ ก็ลุกขึ้นยืนมาต่อยจนถึงครบ 3 ยก มวยงานวัดถ้าหากไม่มีผู้ใดน็อก ยืนได้ครบชู เขาให้เท่ากัน ไฟต์นั้นผมก็เลยไม่แพ้”
“พอกลับมาถึงบ้าน ก็รู้สึกท้อไม่ต้องการต่อยอีก ด้วยเหตุว่ามันปวดระบมไปตลอดตัว ถึงขั้นที่ นั่งขี้มิได้ เจ็บช้ำไปทั่วร่างกาย แม่บอกกับผมว่า ‘ลูกเอ๋ย ถ้าเกิดคิดจะเป็นนักมวยจะต้องทรหดอดทน และก็ขยันฝึกนะลูก’ คำนั่นแหละที่ทำให้เกิดกำลังใจ ซ้อมเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ตั้งแต่นั้น ก็ชนะคู่ต่อสู้มาตลอดเกือบจะไม่แพ้คนใดกันเลย”
เขาทรายเป็นหนึ่ง ในวัยชายหนุ่มกระทง ฟื้นเองกลับมา จากความปราชัยต่อ แรง แสงสว่างพระอาทิตย์ มาได้อย่างเร็ว ไม่มีความต่างกับตัวเขาในวัยเด็ก เขาเป็นจริงเป็นจังฝึกหัดอย่างมากหน่วง โดยได้ ครูเฒ่า – ชนะ ทรัพย์แก้ว มาฝึกการสอนเชิงมวยสากลให้
นักต่อยชายหนุ่มจากเมืองมะขามหวาน มีเป้าหมายสำคัญเป็นแนวทางการทำชั้นติด 1 ใน 10 ชมรมมวยโลก (WBA) เพื่อกรุยสู่การต่อยชิงชนะเลิศโลก รุ่น ซูเปอร์ฟลายเวท กับ จิโร วาตาท้องนาเบ ผู้ครอบครองสายรัดเอวคนญี่ปุ่น ซึ่งเป็นนักมวยดังของสมัยนั้น รวมทั้งอีกอย่างหนึ่ง เขาปรารถนารักษาสัจจะที่เคยบอกไว้ว่า จะไม่แพ้ผู้ใดกันอีก
เขาทรายเป็นหนึ่ง “พวกเราเก็บคำพูดนั้นมาไว้กับตนเอง ‘เอาวะ ไม่แพ้ก็ได้ ประเดี๋ยวจะก่อให้มอง’ ในเวลานั้นมีความรู้สึกว่า ถ้าเกิดพวกเราขยัน มีการฝึกที่ดี สภาพร่างกายดี ก็ไม่มีผู้ใดต่อยพวกเราลงได้ ไม่มีผู้ใดต่อยพวกเราเจ็บ เนื่องจากว่าพวกเราฝึกมาแข็งขนาดนี้ เพียงพอร่างกายดียิ่งขึ้น มีพลังก็ไม่กลัวคนไหนทั้งหมด ชนะสำหรับในการฝึกซ้อมมา 25 คน น็อกคู่แข่งขันมาตลอด อุ่นแล้วอุ่นอีก อุ่นกระทั่งไหม้แล้ว (หัวเราะ) ก็ยังมิได้ต่อยกับ วาตาท้องนาเบ สักครั้ง จนถึงเขาเสียสายรัดเอวไป เพราะเหตุว่าเลี่ยงต่อยกับพวกเรา ไปต่อยผ่านสถาบันกับ พเยาว์ (พูนธรัตน์) พวกเราถึงได้มีโอกาสชิงแชมป์โลกที่ว่าง หลังจากรอมานานถึง 3 ปี”